EU Regulation 2025 สำหรับบริษัทที่ต้องการส่งออกฝา Lug Cap คุณภาพสูงไปตลาดยุโรปและอเมริกา การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านบรรจุภัณฑ์ของสหภาพยุโรป (EU Regulation for Packaging) ไม่ใช่แค่ “เรื่องที่ควรทำ” แต่มันคือ “เรื่องที่ต้องทำ” เพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้แบบไม่สะดุดครับ เพราะถ้าไม่ทำตาม ของก็เข้าประเทศเขาไม่ได้ แถมอาจโดนค่าปรับมหาศาลไปอีก
กฎหมายที่ต้องรู้สำหรับสินค้าผ่านประตูสู่ตลาดยุโรป
EU จริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของผู้บริโภคมาก กฎระเบียบด้านบรรจุภัณฑ์ หรือที่ล่าสุดพวกเขาอัปเดตเป็น Packaging and Packaging Waste Regulation (PPWR) นั้นเปรียบเสมือนกฎหมายกลางที่ทุกประเทศสมาชิก EU ต้องใช้เหมือนกันหมด หากบรรจุภัณฑ์ของเรา (ในที่นี้คือฝาขวดแก้ว) ไม่ผ่านมาตรฐานที่กำหนดไว้ ก็จะถูกตีกลับ ห้ามวางขาย เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และเสียเครดิตค่ะ
ไม่ใช่แค่เรื่องรีไซเคิล แต่คือ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy)
เทรนด์โลกตอนนี้คือ Go Green! และ EU เป็นผู้นำในเรื่องนี้ กฎหมาย PPWR ตั้งเป้าใหญ่ไว้ชัดเจนภายในปี 2030 คือ:
- ลดขยะ (Reduce): เลิกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น ออกแบบให้มีขนาดพอดี ไม่ใช่กล่องใหญ่เบิ้มแต่ของข้างในมีนิดเดียว
2.ใช้ซ้ำ (Reuse): สนับสนุนบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่หรือเติมได้
3.รีไซเคิล (Recycle): บรรจุภัณฑ์ทุกชิ้นที่วางขายใน EU ต้องรีไซเคิลได้ 100% และต้องมีส่วนผสมของพลาสติกรีไซเคิล (Recycled Content) ตามสัดส่วนที่กำหนด
สำหรับ Splus Corp ที่ผลิต ฝา Lug Cap ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบรรจุภัณฑ์โดยตรง จึงต้องแน่ใจว่าวัสดุที่ใช้และการออกแบบฝาเอื้อต่อการรีไซเคิลตามมาตรฐานของ EU Regulation 2025
สารเคมีต้องห้าม คือเรื่องคอขาดบาดตาย
EU มีกฎที่เข้มงวดมากเกี่ยวกับสารเคมีอันตรายในบรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสอาหาร (Food Contact Materials) โดยเฉพาะสารในกลุ่ม PFAS (ที่รู้จักกันในชื่อ ‘forever chemicals’) จะถูกแบนในบรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสอาหารตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป การมีเอกสารรับรองคุณภาพที่แสดงว่าฝาของเราปลอดสารอันตรายเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความเชื่อมั่นและทำให้สินค้าผ่านด่านไปได้
ฉลากต้องชัดเจน ไม่มั่ว!
กฎใหม่จะบังคับใช้ระบบฉลากที่เหมือนกันทั่วยุโรป เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจง่ายว่าจะต้องทิ้งบรรจุภัณฑ์ชิ้นนี้ลงถังขยะสีไหน หรือจะนำไปคืนที่ไหน (สำหรับระบบมัดจำขวด/กระป๋อง) ข้อมูลบนฉลากต้องระบุองค์ประกอบของวัสดุอย่างชัดเจน ซึ่งผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อย่างเราต้องเตรียมข้อมูลส่วนนี้ให้พร้อมสำหรับลูกค้า
ถ้าไม่ทำตามจะเกิดอะไรขึ้น?
ถูกปฏิเสธการนำเข้า: สินค้าโดนตีกลับที่ด่านศุลกากร เสียหายทั้งล็อต
โดนค่าปรับ: ค่าปรับอาจสูงมาก สร้างภาระให้ธุรกิจ
เสียชื่อเสียง: การไม่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยถือเป็นเรื่องใหญ่ในตลาดยุโรป อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์แบรนด์ในระยะยาว
เสียโอกาสทางธุรกิจ: คู่แข่งที่ทำตามกฎก็จะคว้าส่วนแบ่งตลาดไป ในขณะที่เรายังติดปัญหาวุ่นวายเรื่องกฎระเบียบ
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การเลือกใช้ฝาที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากลจากผู้ผลิตที่เข้าใจกฎหมายอย่าง Splus Corp จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลก หากสนใจ ฝาลัก หรือ ฝาเกลียวล็อค สำหรับการส่งออกไปยุโรปและอเมริกา สามารถปรึกษาเราได้เลยครับ เรามี Lab Swiss รับรองคุณภาพมาตรฐานและมีเอกสารที่พร้อมรองรับการส่งออกทั่วโลก เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าสินค้าของคุณจะไปถึงปลายทางอย่างราบรื่น
กฎหมาย EU Regulation 2024/3190 ที่แบนสาร BPA ในบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่มมีผลบังคับใช้ในทุกประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025 ดังนั้น รายชื่อประเทศที่ใช้กฎหมายนี้จึงครอบคลุมทุกประเทศใน EU ได้แก่:- ออสเตรีย
- เบลเยียม
- บัลแกเรีย
- โครเอเชีย
- ไซปรัส
- เช็กเกีย
- เดนมาร์ก
- เอสโตเนีย
- ฟินแลนด์
- ฝรั่งเศส
- เยอรมนี
- กรีซ
- ฮังการี
- ไอร์แลนด์
- อิตาลี
- ลัตเวีย
- ลิทัวเนีย
- ลักเซมเบิร์ก
- มอลตา
- เนเธอร์แลนด์
- โปแลนด์
- โปรตุเกส
- โรมาเนีย
- สโลวาเกีย
- สโลวีเนีย
- สเปน
- สวีเดน
นอกจากนี้ บางประเทศในยุโรปที่ไม่ได้เป็นสมาชิก EU แต่อยู่ในเขตเศรษฐกิจยุโรป (European Economic Area – EEA) เช่น นอร์เวย์, ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ มักจะนำกฎหมายของ EU Regulation 2025 มาปรับใช้ด้วยเช่นกัน เพื่อให้การค้าระหว่างกันเป็นไปอย่างราบรื่น
การทำธุรกิจในตลาดสากลนั้นการเตรียมตัวล่วงหน้าคือสิ่งสำคัญที่สุด และการเลือกคู่ค้าที่มีความเชี่ยวชาญก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงได้มากค่ะ ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจของคุณเติบโตไปอย่างมั่นคง ลองให้เราเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จนั้นดูนะคะ
ช่องทางการติดต่อ : 0888421991
email : [email protected]
website : https://splusglass.com/